วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บันทึกการเข้าเรียน ครั้งที่ 3

22  พฤศจิกายน  2556



กิจกรรมการเรียนการสอน

4. เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ  (Children with Physical and Health Impairments)

              -  เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
              -  อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งขาดหายไป
              - มีปัญหาทางระบบประสาท
              - มีความลำบากในการเคลื่อนไหว
จำแนกได้
               1. อาการบกพร่องทางร่างกาย
               2. ความบกพร่องทางสุขภาพ

1. อาการบกพร่องทางร่างกาย
            ซี.พี.  (Cerebral Palsy)
    - เป็นอัมพาต  เนื่องจากระบบประสาทของสมองพิการ  หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด  ระหว่างคลอดหรือหลังคลอด
     - การเคลื่อนไหว  การพูด  พัฒนาการล่าช้า  เด็กซี.พี.มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่างๆของสมองแตกต่างกัน
             อาการ      
     1. อัมพาตเกร็งของแขนขา หรือครึ่งซีก  (Spastic)
     2. อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ  (Athetoid)
     3. อัมพาตสูญเสียการทรงตัว  (Ataxia)
     4. อัมพาตตึงแข็ง  (Rigid)
     5. อัมพาตแบบผสม  (Mixed)
            กล้ามเนื้ออ่อนแรง   (Muscular  Distrophy)
     -  เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนต่างๆเสื่อมสลาย
     - เดินไม่ได้  นั่งไม่ได้  นอนอยู่กับที่
     - มีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ  ความจำแย่ลงสติปัญญาเสื่อม
            โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้้อ  (Orthopedic)
     - ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก  (Club foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน  อัมพาตครึ่งท่อน  เนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด  (Spina Bifida)
     -  ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ  (Infection)  เช่น  วัณโรค  กระดูกหลังโก่ง  กระดูกผุ  เป็นแผลเรื้อรัง  มีหนอง  เศษกระดูกผุ
     -  กระดูกหัก  ข้อเคลื่อน  ข้ออักเสบ
              โปลิโอ  (Poliomyelitis)
      มีอาการ
       -  กล้ามเนื้อลีบเล็ก  แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
       -  ยืนไม่ได้  หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสริม
       -  แขนขาด้วนแต่กำเนิด  (Limb Deficiency)
       -  โรคกระดูกอ่อน  (Osteogenesis  Imperfeta)

2.  ความบกพร่องทางสุขภาพ
     - โรคลมชัก  (Epilepsy)   เป็นลักษณะที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบสมอง
1. ลมบ้าหมู  (Grand  Mal)
      เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ   และหมดความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก  กัดฟัน  กัดลิ้น
2. การชักในช่วงเวลาสั้นๆ  (Petit Mal)
  - เป็นอาการชักระยะเวลา  5-10  วินาที
  - เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก
  -  เด็กจะนั่งเฉย  หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
3.  การชักแบบรุนแรง  (Grand  Mal)
    - เด็กจะส่งเสียง  หมดความรู้สึก  ล้มลง  กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดราว  2-5  นาที  จากนั้นจะหายและนอนหลับไปชั่วครู่
4. อาการชักแบบ Partial  Complex
   - เกิดอาการเป็นระยะ
   - กัดริมฝีปาก  ไม่รู้สึกตัว  ถูตามแขนขา  เดินไปมา
   - บางคนอาจเกิดความโกรธหรือโมโห  หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้  และต้องนอนพัก
5. อาการไม่รู้สึกตัว  (Focal  Partia)
    -  เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น  เด็กไม่รู้สึกตัว  อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้  เช่น  ร้องเพลง  ดึงเสื้อผ้า  เดินเหม่อลอย  แต่ไม่มีอาการชัก
         -โรคระบบทางเดินหายใจ
         - โรคเบาหวาน  (Diabetes Mellitus)
         - โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์   (Rheumatiod  Arthritis)
         -  โรคศีรษะโต   (Hydrocephalus)
         -  โรคหัวใจ   (Cardiac  Conditions)
         -  โรคมะเร็ง  (Cancer)
         -  เลือดไหลไม่หยุด   (Hemophilia)

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
         1.  มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
         2.  ท่าเดินคล้ายกรรไกร
         3.  เดินขากระเผลก  หรืออืออาดเชื่องช้า
         4.  ไอเสียงแห้งบ่อยๆ
         5.  บ่นเจ็บหน้าอกบ่อยๆ  ปวดหลังบ่อยๆ
         6.  หน้าแดงง่าย  มีสีเขียวจางบนแก้ม  ริมฝีปากหรือปลายนิ้ว
         7.  หกล้มบ่อย
         8.  หิวและกระหายน้ำอย่างเกินกว่าเหตุ


5.  เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา  (Children with Speech and  Language  Disorders)
       * พูดไม่ชัด
       * ออกเสียงผิดเพี้ยน
       * อวัยวะที่ใช้ในการพูดไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้น
       * การใช้อวัยวะเพื่อการพูดไม่เป็นไปดังตั้งใจ
       * มีอากัปกิริยาที่ผิดปกติขณะพูด
1. ความผิดปกติด้านการออกเสียง
       *  ออกเสียงเพี้ยนไปจากมาตรฐานของภาษาเดิม
       *  เพิ่มหน่วยเสียงเข้าใจคำโดยไม่จำเป็น
       *  เอาเสียงหนึ่งมาแทนอีกเสียงหนึ่ง  เช่น  กวาด  เป็น  ฝาด
2.  ความผิดปกติด้านจังหวะเวลาของการพูด
        *  พูดรัว
        *  พูดติดอ่าง
3.  ความผิดปกติด้านเสียง
         *  ระดับเสียง
         *  ความดัง
         *  คุณภาพของเสียง
4.  ความผิดปกติด้านการพูดและภาษา  เนื่องจากพยาธสภาพที่สมอง  โดยทั่วไปเรียกว่า  Dysphasia  หรือ  Aphasia
        1.  Motor  Aphasia
             *  เข้าใจคำถามหรือคำสั่ง  แต่พูดไม่ได้  ออกเสียงลำบาก
             *  พูดช้า  พูดตามได้บ้าง  บอกชื่อสิ่งของพอได้
             *  พูดไม่ถูกไวยากรณ์
         2. Wernicke's  Aphasia
             *  ไม่เข้าใจคำถาม  ได้ยินแต่ไม่เข้าใจความหมาย
             *   ออกเสียงไม่ติดขัด  แต่มักใช้คำผิดๆหรือใช้คำอื่นซึ่งไม่มีความหมายแทน
         3.  Conduction  Aphasia
              *  ออกเสียงได้ไม่ติดขัด  เข้าใจคำถามดี  แต่พูดหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้
              *  มักเกิดร่วมกับอัมพาตของร่างกายซีกขวา
          4.  Nominal  Aphasia
               *  ออกเสียงได้  เข้าใจคำถามดี  พูดตามได้  แต่บอกชื่อวัตถุไม่ได้  เพราะลืมชื่อ
               *  บางทีไม่เข้าใจความหมายของคำ  มักเกิดขึ้นร่วมกับ Gerstmann's Syndrome
          5.  Global  Aphasia
               * ไม่เข้าใจทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน
               *  พูดไม่ได้เลย
          6.  Sensory  Agraphia
               *  เขียนเองไม่ได้  เขียนตอบคำถามหรือชื่อวัตถุไม่ได้
               *  เกิดร่วมกับ  Gerstmann's Syndrome
          7. Motor   Agraphia
               *  เด็กที่ลอกตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ไม่ได้
               *  เขียนตามคำบอกไม่ได้
          8. Contical  Alexia
                *  อ่านไม่ออก  เพราะไม่เข้าใจภาษา
          9. Motor  Alexia
                *  เห็นตัวเขียนหรือตัวพิมพ์  เข้าใจความหมาย
                *  อ่านออกเสียงไม่ได้
          10.  Gerstmann's Syndrome 
                *  ไม่รู้ชื่อนิ้ว
                *  ไม่รู้ซ้ายขวา
                *  คำนวณไม่ได้
                *  เขียนไม่ได้
                *  อ่านไม่ออก
           11.  Visual  Agnosia
                 * มองเห็นวัตถุ  แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
                 * บอกชื่อนิ้วตัวเองไม่ได้
            12. Audrtory  Agnosia
                 *  ไม่มีความบกพร่องทางการได้ยิน  แต่แปลความหมายของคำหรือประโยคที่ได้ยินไม่เข้าใจ

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
             1.  ในวัยทารกมักเงียบผิดปกติ  ร้องไห้เบาๆและอ่อนแรง
             2. ไม่อ้อแอ้ภายใน  10  เดือน
             3.  ไม่พูดภายใน 2  ขวบ
             4.  หลัง  3 ขวบแล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
             5.  ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
             6.  หลัง  5  ขวบ  เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
             7.  มีปัญหาในการสื่อความหมาย  พูดตะกุกตะกัก
             8.  ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย


      

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บันทึการเข้าชั้นเรียน ครั้งที่ 2

15  พฤศจิกายน  2556


กิจกรรมการเรียน  การสอน

         1. ผู้สอนชี้แจงเกณฑ์การให้คะแนน  ดังนี้
                    -  จิตพิสัย                     10   คะแนน
                    -  งานเดี่ยว (วิจัย)         10   คะแนน
                    -  งานกลุ่ม (นำเสนอ)   20   คะแนน
                    -  บันทึกอนุทิน  (blog)  20   คะแนน
                    -  โทรทัศน์ครู               10   คะแนน
                    -   สอบกลางภาค         15   คะแนน
                    -   สอบปลายภาค         15   คะแนน
            2.   วันนี้เรียนทฤษฎี เรื่อง เด็กที่มีความต้องการพิเศษ

ความหมาย
       1.  ทางการแพทย์   >>  มกเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า "เด็กพิการ"
                 -  เด็กผิดปกติ
                 -  มีความบกพร่อง (กาย)
                 -  สูญเสียสมรรถภาพ  (สติปญญา และ จิตใจ)
        2.  ทางการศึกษา
                  -  เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง
                  -  ต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติ  ทางด้านเนื้อหา  หลักสูตร  กระบวนการใช้และประเมินผล

สรุปความหมาย
        1.  เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควร  จากการให้ความช่วยเหลือ  และการสอนตามปกติ
        2.  มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางร่างกาย  สติปัญญา  และอารมณ์
        3.  จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น  ช่วยเหลือ  บำบัดและฟื้นฟู
        4.  จัดการเรียนการสอนที่เหมาะกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล

ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
         แบ่งออกเป็น  2  กลุ่มใหญ่
   1.  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
           -  มีปัญญาเลิศ  (มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา)
   2.  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะความบกพร่อง
            กระทรวงศึกษาธิการได้แบ่งออกเป็น  9  ประเภท   ได้แก่
        1.  เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
        2.  เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
        3.  เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น
        4.  เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกสยและสุขภาพ
        5.  เด็กที่มีความบกพร่องทางการรพูดและภาษา
        6.  เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
        7.  เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
        8.  เด็กออทิสติก
        9.  พิการซ้ำซ้อน
-------------------------------------------------------------------------------------------------
1.  เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา  (Children  with  Inellectual  Disabilities)
         -  เด็กมีระดับปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย  เมื่อเทียบกับเด็กในระดับอายเดียวกัน
แบ่งเป็น  2   กลุ่ม   ดังนี้
          1.  เด็กเรียนช้า
          2.  เด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
          1.  เรียนในชั้นเรียนปกติได้
          2.  มีความสามรถการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
          3.  ขาดทักษะในการเรียนรู้
          4.  บกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
          5.  ระดับปัญญา (IQ)  ประมาณ  71 - 90
สาเหตุ
           ภายนอก
           1.   เศรษฐกิจครอบครัว
           2.   สร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
           3.  สภาวะด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
           4.  การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
           5.  วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
           ภายใน
           1.  พัฒนาการช้า
           2.  การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
            1.  มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
            2.  แสดงลักษณะเฉพาะ  คือ  มีระดับปัญญาต่ำ
            3.  มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
            4.  มีความจำกัดทางด้านทักษะ
            5.  มีพัฒนาการทางร่างกายล่าช้าไม่สมวัย
            6.  มีความสามารถจำกัดในการปรบตัวต่อสิ่งแวดล้อม
แบ่งได้  4  กลุ่ม  (ตามระดับ IQ)
             1.  ปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก  IQ ต่ำกว่า 20
                   -  ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่างๆได้เลย
                   -   ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาบเท่านั้น
              2.  ปัญญาอ่อนขนาดหนัก  IQ  20-34
                   -  ไม่สามารถเรียนได้
                   -   ต้องการเฉพาะการฝึกหัด  การช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่ายๆ
     ** 2 กลุ่มนี้โดยทั่วไปเรียกว่า C.M.R.  (Custodial  Mentel  Retardation) **
              3.   ปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง  IQ  35-49
                    -  พอฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่ายๆได้
                    -  สามารถฝึกอาชีพ  หรือทำงานง่ายๆที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดละออได้
                    -  เรียก  T.M.R.  (Trainable  Mentally  Retarded)
              4.    ปัญญาอ่อนขนาดน้อย  IQ 50-70
                     - เรียนในรดับประถมได้
                     - สามารถฝึกอาชีพและงานง่ายๆได้
                     - เรียก E.M.R. ( Educable  Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา  (ปัญญาอ่อน  ดาวน์ซิลโดรม)
              1.  ไม่พูด  หรือ  พูดไม่สมวัย
              2.   ช่วงความสนใจสั้น  วอกแวกง่าย
              3.  ความคิดและอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
              4.  ทำงานช้า
              5.  รุนแรง  ไม่มีเหตุผล
              6.  อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ  กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
              7.  ช่วยตัวเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

2.  เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน  (Children  with  Hearing Impaired)
              - เด็กที่สูญเสียการได้ยิน
              - รับฟังเสียต่างๆได้ไม่ชัดเจน
แบ่งได้  2  ประเภท  
              1. เด็กหูตึง
                  - เด็กที่สูยเสียการได้ยิน
                  - สามารรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง
              จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
                   1.  เด็กหูตึงระดับน้อย  (ได้ยินระหว่าง 26-40 dB)
                        -  เสียงกระซิบ หรือ เสียงจากที่ไกลๆ
                   2. เด็กหูระดับปานกลาง  (ได้ยินระหว่าง  41-55 dB)
                        -  มีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติ  ในระยะห่าง  3-5  ฟุตและไม่เห็นหน้าผู้พูด
                        -  จะไม่ได้ยิน  ได้ยินไม่ชัด  จับใจความไม่ได้
                        -  มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย  เช่น  พูดไม่ชัด  ออกเสียงเพี้ยน
                   3.  เด็กหูตึงมาก  (ได้ยินระหว่าง  56-70  dB)
                        -  มีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
                        -  เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
                        -  มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
                        -  มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
                        - พูดไม่ชัด  เสียงเพี้ยน  บางคนไม่พูด
                   4.   เด็กหูตึงระดับรุนแรง  (ได้ยินระหว่าง  71-90  dB)
                         -  จะมีปัญหาในการรับฟงเสียงและการเข้าใจคำพูดยากมาก
                         -  ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ  1 ฟุต
                         -   พูดคุยกันด้วยน้ำเสียงตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
                         -   มีปัญหาในการแยกเสียง
                         -  พูดไม่ชัด  บางคนเสียงผิดปกติ  บางคนไม่พูดเลย
                         -  เด็กกลุ่มนี้ต้องใช้ภาษามือในการสื่อสาร
                    2.  เด็กหูหนวก
                          -  สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูกจากการได้ยิน
                          -  ไม่สามารถใช้เครื่องช่วยฟังได้
                          -  ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
                          -  ระดับการได้ยินตั้งแต่  91  dB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
               1. ไม่ตอบสนองเสียงพูด  เสียงดนตรี  มักตะแคงหูฟัง
               2.  ไม่พูด  แต่มักแสดงท่าทาง
               3.  พูดด้วยเสียงแปลก  มักเปล่งเสียงสูง
               4.  พูดด้วยน้ำเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความเป็นจริง
               5.  เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด  หรือจ้องหน้าผู้พูด
               6.  รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน  และการเคลื่อนไหวรอตัว
               7.  มักทหนาเด๋อเมื่อมีคนพูดด้วย

3. เด็กที่บกพร่องทางการมองเห็น  (Children  with  Visual  Impairments)
         -  มองไมเหน  หรือพอเห็นแสง  เห็นเลือนลาง
         -  บกพร่องทางสายาทั้งสองข้าง
         -  เห็นได้ไม่ถง  1/10 ของคนสายาปกติ
         -  มีลานสายตากว้างไม่เกิน  30  องศา
จำแนกได้  2  ประเภท
          1.  ตาบอด
                -  ไม่สามารถมองเห็นได้เลย
                -  ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
                -  มีสายตาข้างดีมองห็นได้ในระยะ  6/10 , 20/200  ลงมาจนถึง  20/200  หรือน้อยกว่านั้น
                -  มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบ  5  องศา
           2.  ตาบอดไม่สนิท
                 -  มีความบกพร่องทางสายตา
                 -  มองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
                 -  เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ  6/18 , 20/60 , 6/60 , 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
                 -  มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน  30  องศา
ลักษณะของเด็กกพร่องทางการเห็น
                 1. เด็กเดินงุ่มง่าม
                 2. มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
                 3. มักบ่นว่าปวดศีรษะ  คลื่นไส้  ตาลาย  คันตา
                 4. ก้มศีรษะชิดกับงาน  หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
                 5. เพ่งตา  หรี่ตา  หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อใช้สายตา
                 6. ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
                 7. มีความลำบากในการจำและแยกแะสิ่งที่เป็นรูปร่างทรงเรขาคณิต
       

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บันทึกการเข้าเรียน ครั้งที่ 1

8  พฤศจิกายน  2556



กิจกรรมการเรียน การสอน

          1.  ผู้สอนชี้แจงรายละเอียดของรายวิชา
          2.  แตกผังความคิด (Mind Map) ในหัวข้อ  "เด็กพิเศษ"


แตกผังความคิด ... ก่อนเรียน